บาร์โค้ด QR โค้ด หรือ RFID Tag?
เทคโนโลยี auto-id ทั้งสามชนิดนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่มีรูปแบบเฉพาะการออกแบบ คุณอาจสงสัยว่าเทคโนโลยีใดเหมาะสมกับคุณที่สุด ดังนั้นเราจะอธิบายเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อช่วยคุณตัดสินใจ
ในฐานะที่เป็นบาร์โค้ดประเภทหนึ่ง QR โค้ดจริง ๆแล้วก็คือบาร์โค้ด 2 มิติ บาร์โค้ดอาจเป็น 1D หรือ 2D แต่ชนิดบาร์โค้ดที่กล่าวถึงในบทความนี้จะหมายถึงบาร์โค้ด 1D เท่านั้น แม้กระนั้นบาร์โค้ดและ QR โค้ดมีคุณสมบัติคล้ายกันในการที่ทั้งสองจะต้องอยู่ในช่วงระยะทางหนึ่งของสแกนเนอร์เพื่อที่จะสามารถสแกนได้ เทคโนโลยีทั้งสองก็มีความสามารถที่จะให้ผู้ใช้งานอ่านข้อมูลอย่างเดียวเท่านั้นซึ่งแสดงให้เห็นว่าข้อมูลจะถูกเข้ารหัสแค่ครั้งเดียว และผู้ใช้งานไม่สามารถแก้ไขข้อมูลได้ นอกจากนี้ทั้ง QR โค้ด และบาร์โค้ดยังสามารถออกแบบได้ในราคาที่ไม่แพง
แม้จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่ก็ยังมีความแตกต่างระหว่าง QR โค้ด และบาร์โค้ด เนื่องจากบาร์โค้ดมีดีไซน์เป็น 1D สิ่งนี้จึงจำกัดความจุของข้อมูลให้มีแต่ตัวอักษรและตัวเลขเท่านั้น ในทางกลับกัน QR โค้ดมีการออกแบบ 2D ซึ่งเพิ่มความจุข้อมูลได้มากกว่าร้อยเท่า คุณสมบัติอีกอย่างที่แยกเทคโนโลยีสองอย่างนี้ออกจากกันก็คือการที่ว่า QR โค้ดจะยังคงทำงานแม้ว่าตัวโค้ดจะได้รับความเสียหายหรือไม่ชัดเจนเพราะมันมีคุณสมบัติการแก้ไขข้อผิดพลาดได้ ในที่สุด QR โค้ดและบาร์โค้ดก็แตกต่างกันไปตามการใช้งานทั่วไปของมัน ด้วยความจุข้อมูลที่ จำกัด บาร์โค้ดมักใช้สำหรับการควบคุมสินค้าคงคลังสำหรับธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งเนื่องจากความไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ารหัสข้อมูลในจำนวนมากต่อรายการ สำหรับ QR โค้ดแล้ว เทคโนโลยีนี้มักใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด
เนื่องจากที่เราได้พูดถึง QR โค้ด และบาร์โค้ดแล้ว ตอนนี้เราก็เหลือด้วยเทคโนโลยีของ RFID Tag ต่างจากการที่ว่าQR โค้ด และบาร์โค้ดต้องอยู่ในสายตาของสแกนเนอร์ RFID Tag จะทำงานโดยการส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุและไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้เครื่องสแกนเพื่อทำงาน ด้วยเหตุนี้ RFID Tag จึงทำให้เราสแกนรายการหลายชิ้นพร้อมกันและผ่านพื้นผิวประเภทต่าง ๆ
นอกจากนี้ RFID Tag ยังสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นแท็กแบบระบบอ่านอย่างเดียวหรือระบบอ่าน / เขียน ข้อมูลจะสำหรับแท็กระบบอ่านข้อมูลจะถูกลงรหัสเพียงครั้งเดียว สามารถอ่านได้อย่างเดียว และต้องใช้ฐานข้อมูลภายนอกเพื่อดึงข้อมูล ส่วน RFID Tag ระบบอ่าน / เขียน ข้อมูลจะถูกจัดเก็บในแท็ก และสามารถแก้ไขได้อีกครั้งในภายหลัง เนื่องจาก RFID Tag ระบบอ่าน / เขียนจะเก็บข้อมูลในตัวมันเอง นี้หมายความว่า RFID Tag นี้จะไม่ต้องใช้ฐานข้อมูลภายนอกในการทำงาน
นอกเหนือจากทางเลือกที่จะใช้ระบบอ่าน / เขียนหรืออ่านอย่างเดียวแล้ว RFID Tag มีชนิดแบบ active tag หรือ passive tag โดย active tag ที่จะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่และให้ระยะการสแกนที่มากกว่า passive tag นอกจากนี้ active tag จะส่งข้อมูลอย่างต่อเนื่องดังนั้นการอัปเดตข้อมูลจะเร็วขึ้นตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม active tag เหล่านี้มีขนาดใหญ่ขึ้นเนื่องจากตัว tag มีแบตเตอรี่ของตัวเองและโดยทั่วไปจะมีความทนทานน้อยกว่า passive tags ตรงกันข้ามกับ active tag ซึ่ง passive tag จะพึ่งพาพลังงานจากเครื่องอ่าน RFID เพื่อทำงาน เนื่องจากไม่มีแบตเตอรี่ของตนเอง passive tag จึงมีความทนทานมากกว่า active tag โดยเป็น tag ที่มีขนาดเล็กและยืดหยุ่น